แนวข้อสอบ
พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551
1. พระราชบัญญัตินี้มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลซึ่งตามรัฐธรรมนูญ
มาตราใดได้ให้อำนาจไว้
ก. มาตรา 33 ข. มาตรา 43
ค. มาตรา 64 ง. ถูกทุกข้อ
คำตอบ ง. พระราชบัญญัตินี้มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 31 มาตรา 33 มาตรา 43 และมาตรา 64 ของรัฐธรรมนูญแห่ง
ราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
2. พระราชบัญญัตินี้ตราขึ้นโดยคำแนะนำและยินยอมจากใคร
ก. คณะรัฐมนตรี ข. สภานิติบัญญัติแห่งชาติ
ค. วุฒิสภา ง. องคมนตรี
คำตอบ ข. จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของ
สภานิติบัญญัติแห่งชาติ
3. พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มีผลยกเลิกพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการ
พลเรือนฉบับใด
ก. พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535
ข. พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2537
ค. พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2538
ง. ถูกทุกข้อ
คำตอบ ง. มาตรา 3 ให้ยกเลิก
(1) พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535
(2) พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2537
(3) พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2538
(4) พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2544
มิให้นำคำสั่งหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ที่ 38/2519 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519
มาใช้บังคับแก่ข้าราชการพลเรือน
4. “บุคคลซึ่งได้รับบรรจุและแต่งตั้งตามพระราชบัญญัตินี้ ให้รับราชการโดยได้รับเงินเดือนจากเงิน
งบประมาณในกระทรวง กรมฝ่ายพลเรือน” หมายถึงข้อใด
ก. ข้าราชการพลเรือน ข. ข้าราชการฝ่ายพลเรือน
ค. ข้าราชการการเมือง ง. ไม่มีข้อถูก
คำตอบ ก. “ข้าราชการพลเรือน” หมายความว่า บุคคลซึ่งได้รับบรรจุและแต่งตั้งตามพระราชบัญญัตินี้
ให้รับราชการโดยได้รับเงินเดือนจากเงินงบประมาณในกระทรวง กรม ฝ่ายพลเรือน
5. ใครไม่ใช่กรรมการข้าราชการพลเรือนโดยตำแหน่ง
ก. ปลัดกระทรวงการคลัง
ข. เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ค. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ง. ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ
คำตอบ ค. ให้มีคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนคณะหนึ่ง เรียกโดยย่อว่า “ก.พ.” ประกอบด้วย
นายกรัฐมนตรี หรือรองนายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย เป็นประธาน ปลัดกระทรวงการคลัง
ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ และเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เป็นกรรมการโดยตำแหน่ง และกรรมการซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งจากผู้ทรงคุณวุฒิด้าน
การบริหารทรัพยากรบุคคล ด้านการบริหารและการจัดการและด้านกฎหมาย ซึ่งมีผลงานเป็นที่ประจักษ์
ในความสามารถมาแล้ว และเป็นผู้ที่ได้รับการสรรหาตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดใน
กฎ ก.พ. จำนวนไม่น้อยกว่า 5 คน แต่ไม่เกิน 7 คน และให้เลขาธิการ ก.พ. เป็นกรรมการและเลขานุการ
6. กรรมการซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้อยู่ในตำแหน่งได้คราวละกี่ปี
ก. 2 ปี ข. 3 ปี ค. 4 ปี ง. 5 ปี
คำตอบ ข. กรรมการซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้อยู่ในตำแหน่งได้คราวละ 3 ปี ถ้าตำแหน่ง
กรรมการว่างลงก่อนกำหนดและยังมีกรรมการดังกล่าวเหลืออยู่อีกไม่น้อยกว่า 3 คน ให้กรรมการที่เหลือ
ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้
7. ใครไม่สามารถเป็นกรรมการข้าราชการพลเรือน ซึ่งจะได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ได้
ก. อภิชาต เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ข. อภิเดช เป็นกรรมการบริหารพรรคการเมือง
ค. อภิวัฒน์ เป็นผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ
ง. ถูกทุกข้อ
คำตอบ ง. กรรมการซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งต้องไม่เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
กรรมการหรือผู้ดำรงตำแหน่งที่รับผิดชอบในการบริหารพรรคการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ในพรรคการเมือง
และมิได้เป็นกรรมการโดยตำแหน่งอยู่แล้ว
8. เมื่อตำแหน่งกรรมการว่างลงก่อนกำหนดให้ดำเนินการแต่งตั้งกรรมการแทนภายในกำหนดกี่วันที่ไม่ต้อง
แต่งตั้งกรรมการแทนก็ได้
ก. 15 วัน ข. 30 วัน
ค. 45 วัน ง. 60 วัน
คำตอบ ข. เมื่อตำแหน่งกรรมการว่างลงก่อนกำหนดให้ดำเนินการแต่งตั้งกรรมการแทนภายในกำหนด
30 วัน เว้นแต่วาระของกรรมการเหลือไม่ถึง 180 วัน จะไม่แต่งตั้งกรรมการแทนก็ได้ ผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้ง
เป็นกรรมการแทนนั้นให้อยู่ในตำแหน่งได้เพียงเท่ากำหนดเวลาของผู้ซึ่งตนแทน
9. ก.พ. มีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการวิสามัญ ซึ่งเรียกโดยย่อว่าอะไร
ก. อนุ ก.พ. ข. อ.ก.พ.
ค. อ.ก.พ. วิสามัญ ง. ไม่มีข้อถูก
คำตอบ ค. ก.พ. มีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการวิสามัญ เรียกโดยย่อว่า “อ.ก.พ. วิสามัญ” เพื่อทำ
การใด ๆ แทนได้
11. ก.พ. มีอำนาจหน้าที่ตามข้อใด
ก. ให้ความเห็นชอบกรอบอัตรากำลังของส่วนราชการ
ข. ออก กฎ ก.พ.
ค. ตีความและวินิจฉัยปัญหาที่เกิดขึ้นเนื่องจากการใช้บังคับพระราชบัญญัตินี้
ง. ถูกทุกข้อ
คำตอบ ง. ก.พ. มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(1) เสนอแนะและให้คำปรึกษาแก่คณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับนโยบายและยุทธศาสตร์การบริหาร
ทรัพยากรบุคคลภาครัฐในด้านมาตรฐานค่าตอบแทน การบริหารและการพัฒนาทรัพยากรบุคคล
รวมตลอดทั้งการวางแผนกำลังคนและด้านอื่นๆ เพื่อให้ส่วนราชการใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการ
(2) รายงานคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาปรับปรุงเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง เงินเพิ่ม
ค่าครองชีพสวัสดิการ หรือประโยชน์เกื้อกูลอื่นสำหรับข้าราชการฝ่ายพลเรือนให้เหมาะสม
(3) กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และมาตรฐานการบริหารและพัฒนาทรัพยากรบุคคลของ
ข้าราชการพลเรือน เพื่อส่วนราชการใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการ
(4) ให้ความเห็นชอบกรอบอัตรากำลังของส่วนราชการ
(5) ออกกฎ ก.พ. และระเบียบเกี่ยวกับการบริหารทรัพยากรบุคคลเพื่อปฏิบัติการตาม
พระราชบัญญัตินี้
(6) ตีความและวินิจฉัยปัญหาที่เกิดขึ้นเนื่องจากการใช้บังคับพระราชบัญญัตินี้
(7) กำกับ ดูแล ติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลการบริหารทรัพยากรบุคคลของข้าราชการ
พลเรือนในกระทรวงและกรม
(8) กำหนดนโยบายและออกระเบียบเกี่ยวกับทุนเล่าเรียนหลวงและทุนของรัฐบาลให้สอดคล้อง
กับนโยบายการบริหารทรัพยากรบุคคลของข้าราชการฝ่ายพลเรือน
(9) ออกข้อบังคับหรือระเบียบเกี่ยวกับการจัดการการศึกษาและควบคุมดูแล และการให้
ความช่วยเหลือบุคลากรภาครัฐ
(10) กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเพื่อรับรองคุณวุฒิของผู้ได้รับปริญญา ประกาศนียบัตรวิชาชีพ
หรือคุณวุฒิอย่างอื่น เพื่อประโยชน์ในการบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการพลเรือน และการกำหนดอัตรา
เงินเดือนหรือค่าตอบแทน รวมทั้งระดับตำแหน่งและประเภทตำแหน่งสำหรับคุณวุฒิดังกล่าว
(11) กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมในการปฏิบัติการเกี่ยวกับการบริหารทรัพยากรบุคคล
ตามพระราชบัญญัตินี้
(12) พิจารณาจัดระบบทะเบียนประวัติและแก้ไขทะเบียนประวัติเกี่ยวกับวัน เดือน ปีเกิด
และการควบคุมเกษียณอายุของข้าราชการพลเรือน
(13) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้และกฎหมายอื่น
12. ใครเป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการและบริหารราชการของสำนักงาน ก.พ.
ก. เลขาธิการ ก.พ. ข. รองเลขาธิการ ก.พ.
ค. รัฐมนตรีประจำสำนักนายก ง. นายกรัฐมนตรี
คำตอบ ก. ให้มีสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน เรียกโดยย่อว่า “สำนักงาน ก.พ.” โดยมี
เลขาธิการ ก.พ. เป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการและบริหารราชการของสำนักงาน ก.พ. ขึ้นตรงต่อ
นายกรัฐมนตรี
13. ข้อใดมิใช่อำนาจหน้าที่ของสำนักงาน ก.พ.
ก. เป็นศูนย์กลางข้อมูลทรัพยากรบุคคลภาครัฐ
ข. ประเมินผลการบริหารทรัพยากรบุคคลของข้าราชการพลเรือน
ค. ควบคุมการเกษียณอายุของข้าราชการพลเรือน
ง. ให้ความเห็นชอบกรอบอัตรากำลังของส่วนราชการ
คำตอบ ง. สำนักงาน ก.พ. มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(1) เป็นเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการดำเนินงานในหน้าที่ของ ก.พ. และ ก.พ.ค. และดำเนินการ
ตามที่ ก.พ. หรือ ก.พ.ค. มอบหมาย
(2) เสนอแนะและให้คำปรึกษาแก่กระทรวง กรม เกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และแนวทาง
การบริหารทรัพยากรบุคคลภาครัฐ
(3) พัฒนา ส่งเสริม วิเคราะห์ วิจัยเกี่ยวกับนโยบาย ยุทธศาสตร์ ระบบ หลักเกณฑ์ วิธีการ
และมาตรฐานด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลของข้าราชการพลเรือน
(4) ติดตามและประเมินผลการบริหารทรัพยากรบุคคลของข้าราชการพลเรือน
(5) ดำเนินการเกี่ยวกับแผนกำลังคนของข้าราชการพลเรือน
(6) เป็นศูนย์กลางข้อมูลทรัพยากรบุคคลภาครัฐ
(7) จัดทำยุทธศาสตร์ ประสานและดำเนินการเกี่ยวกับการพัฒนาทรัพยากรบุคคลของข้าราชการ
ฝ่ายพลเรือน
(8) ส่งเสริม ประสานงาน เผยแพร่ ให้คำปรึกษาแนะนำ และดำเนินการเกี่ยวกับการจัดสวัสดิการ
และการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตสำหรับทรัพยากรบุคคลภาครัฐ
(9) ดำเนินการเกี่ยวกับทุนเล่าเรียนหลวงและทุนของรัฐบาลตามนโยบายและระเบียบของ ก.พ.
ตามมาตรา 8 (8)
(10) ดำเนินการเกี่ยวกับการดูแลบุคลากรภาครัฐและนักเรียนทุนตามข้อบังคับหรือระเบียบของ
ก.พ. ตามมาตรา 8 (9)
(11) ดำเนินการเกี่ยวกับการรับรองคุณวุฒิของผู้ได้รับปริญญา ประกาศนียบัตรวิชาชีพ หรือ
คุณวุฒิอย่างอื่น เพื่อประโยชน์ในการบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการพลเรือนและการกำหนดอัตรา
เงินเดือนหรือค่าตอบแทน รวมทั้งระดับตำแหน่งและประเภทตำแหน่งสำหรับคุณวุฒิดังกล่าว
(12) ดำเนินการเกี่ยวกับการรักษาทะเบียนประวัติและการควบคุมเกษียณอายุของข้าราชการ
พลเรือน
(13) จัดทำรายงานประจำปีเกี่ยวกับการบริหารทรัพยากรบุคคลในราชการพลเรือนเสนอต่อ
ก.พ. และคณะรัฐมนตรี
14. ใครเป็นประธาน อ.ก.พ. กระทรวง
ก. รัฐมนตรี ข. ปลัดกระทรวง
ค. เลขาธิการ ก.พ. ง. ไม่มีข้อถูก
คำตอบ ก. อ.ก.พ. กระทรวง ประกอบด้วย รัฐมนตรีเจ้าสังกัด เป็นประธาน ปลัดกระทรวง
เป็นรองประธาน และผู้แทน ก.พ. ซึ่งตั้งจากข้าราชการพลเรือนในสำนักงาน ก.พ. 1 คน เป็นอนุกรรมการ
โดยตำแหน่ง และอนุกรรมการซึ่งประธาน อ.ก.พ. แต่งตั้งจาก
(1) ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล ด้านการบริหารและการจัดการและด้านกฎหมาย
ซึ่งมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ในความสามารถมาแล้ว และมิได้เป็นข้าราชการในกระทรวงนั้น จำนวนไม่เกิน
3 คน
(2) ข้าราชการพลเรือนผู้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูงในกระทรวงนั้น ซึ่งได้รับเลือก
จากข้าราชการพลเรือนผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าว จำนวนไม่เกิน 5 คน
15. ข้อใดเป็นอำนาจหน้าที่ของ อ.ก.พ. กระทรวง
ก. พิจารณากำหนดนโยบาย ระบบ และระเบียบวิธีการบริหารทรัพยากรบุคคลในกระทรวง
ข. พิจารณาการเกลี่ยอัตรากำลังระหว่างส่วนราชการต่างๆ ภายในกระทรวง
ค. พิจารณาเกี่ยวกับการดำเนินการทางวินัยและการสั่งให้ออกจากราชการ
ง. ถูกทุกข้อ
คำตอบ ง. อ.ก.พ. กระทรวงมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(1) พิจารณากำหนดนโยบาย ระบบ และระเบียบวิธีการบริหารทรัพยากรบุคคลในกระทรวง
ซึ่งต้องสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และมาตรฐานที่ ก.พ. กำหนดตามมาตรา 8 (3)
(2) พิจารณาการเกลี่ยอัตรากำลังระหว่างส่วนราชการต่างๆ ภายในกระทรวง
(3) พิจารณาเกี่ยวกับการดำเนินการทางวินัยและการสั่งให้ออกจากราชการตามที่บัญญัติไว้
ในพระราชบัญญัติ
(4) ปฏิบัติการอื่นตามพระราชบัญญัตินี้ และช่วย ก.พ. ปฏิบัติการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้
ตามที่ ก.พ. มอบหมาย
16. อ.ก.พ. มีใครเป็นรองประธาน
ก. เลขาธิการ ก.พ. ข. รองเลขาธิการ ก.พ.
ค. อธิบดี ง. รองอธิบดี
คำตอบ ง. อ.ก.พ. กรม ประกอบด้วยอธิบดี เป็นประธาน รองอธิบดีที่อธิบดีมอบหมาย 1 คน
เป็นรองประธาน และอนุกรรมการซึ่งประธาน อ.ก.พ. แต่งตั้งจาก
(1) ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล ด้านการบริหารและการจัดการและด้านกฎหมาย ซึ่งมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ในความสามารถมาแล้ว และมิได้เป็นข้าราชการในกรมนั้นจำนวนไม่เกิน 3 คน
(2) ข้าราชการพลเรือนซึ่งดำรงตำแหน่งประเภทบริหารหรือประเภทอำนวยการในกรมนั้น
ซึ่งได้รับเลือกจากข้าราชการพลเรือนผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าว จำนวนไม่เกิน 6 คน
17. ข้อใดมิใช่อำนาจหน้าที่ของ อ.ก.พ. กรม
ก. พิจารณากำหนดนโยบาย ระบบ และระเบียบวิธีการบริหารทรัพยากรบุคคลในกระทรวง
ข. พิจารณาการเกลี่ยอัตรากำลังระหว่างส่วนราชการต่างๆ ภายในกรม
ค. พิจารณาเกี่ยวกับการดำเนินการทางวินัยและการสั่งให้ออกจากราชการ
ง. ข้อ ข. และ ค. ถูก
คำตอบ ก. อ.ก.พ. กรม มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(1) พิจารณากำหนดนโยบาย ระบบ และระเบียบวิธีการบริหารทรัพยากรบุคคลในกรม
ซึ่งต้องสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และมาตรฐานที่ ก.พ. กำหนดตามมาตรา 8 (3) และนโยบาย
และระบบการบริหารทรัพยากรบุคคลที่ อ.ก.พ. กระทรวงกำหนดตามมาตรา 16 (1)
(2) พิจารณาการเกลี่ยอัตรากำลังระหว่างส่วนราชการต่างๆ ภายในกรม
(3) พิจารณาเกี่ยวกับการดำเนินการทางวินัยและการสั่งให้ออกจากราชการตามที่บัญญัติไว้
ในพระราชบัญญัตินี้
(4) ปฏิบัติการอื่นตามพระราชบัญญัตินี้ และช่วย ก.พ. ปฏิบัติการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้
ตามที่ ก.พ. มอบหมาย
18. ใครเป็นประธาน อ.ก.พ. จังหวัด
ก. ผู้ว่าราชการจังหวัด ข. ปลัดจังหวัด
ค. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ง. ไม่มีข้อถูก
คำตอบ ก. อ.ก.พ. จังหวัด ประกอบด้วยผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธาน รองผู้ว่าราชการจังหวัดที่
ผู้ว่าราชการจังหวัดมอบหมาย 1 คน เป็นรองประธาน และอนุกรรมการ ซึ่งประธาน อ.ก.พ. แต่งตั้งจาก
(1) ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล ด้านการบริหารและการจัดการและ
ด้านกฎหมาย ซึ่งมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ในความสามารถมาแล้ว และมิได้เป็นข้าราชการพลเรือนใน
จังหวัดนั้น จำนวนไม่เกิน 3 คน
(2) ข้าราชการพลเรือนซึ่งดำรงตำแหน่งประเภทบริหารหรือประเภทอำนวยการ ซึ่งกระทรวง
หรือกรมแต่งตั้งไปประจำจังหวัดนั้น และได้รับเลือกจากข้าราชการพลเรือนผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าว
จำนวนไม่เกิน 6 คน ซึ่งแต่ละคนต้องไม่สังกัดกระทรวงเดียวกัน
19. คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมมีกรรมการกี่คน
ก. 5 คน ข. 7 คน
ค. 8 คน ง. 11 คน
คำตอบ ข. ให้มีคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมคณะหนึ่ง เรียกโดยย่อว่า “ก.พ.ค.” ประกอบด้วย
กรรมการจำนวนเจ็ดคน ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งตามมาตรา 26
20. อ.ก.พ. จังหวัด มีหน้าที่ใด
ก. พิจารณากำหนดแนวทางและวิธีการบริหารทรัพยากรบุคคล
ข. ดำเนินการทางวินัยและการสั่งให้ออกจากราชการ
ค. ปฏิบัติตามที่ อ.ก.พ. กระทรวง หรือ อ.ก.พ. กรม มอบหมาย
ง. ถูกทุกข้อ
คำตอบ ง. อ.ก.พ. จังหวัด มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(1) พิจารณากำหนดแนวทางและวิธีการบริหารทรัพยากรบุคคล ซึ่งต้องสอดคล้องกับหลักเกณฑ์
วิธีการ และมาตรฐานที่ ก.พ. กำหนดตามมาตรา 8 (3)
(2) พิจารณาเกี่ยวกับการดำเนินการทางวินัยและการสั่งให้ออกจากราชการตามที่บัญญัติไว้ใน
พระราชบัญญัตินี้
(3) ปฏิบัติตามที่ อ.ก.พ. กระทรวง หรือ อ.ก.พ. กรม มอบหมาย
(4) ปฏิบัติการอื่นตามพระราชบัญญัตินี้ และช่วย ก.พ. ปฏิบัติการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้
ตามที่ ก.พ. มอบหมาย
21. ใครสามารถได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการ ก.พ.ค. ได้
ก. อำนาจ เคยเป็นกรรมการกฤษฎีกา
ข. อัมพร เคยรับราชการตำแหน่งผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์
ค. อัมพิกา รับราชการในตำแหน่งอัยการพิเศษประจำเขต
ง. ถูกทุกข้อ
คำตอบ ง. ผู้จะได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการ ก.พ.ค. ต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
(1) มีสัญชาติไทย
(2) มีอายุไม่ต่ำกว่า 45 ปี
(3) มีคุณสมบัติอื่นอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้
(ก) เป็นหรือเคยเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน
คณะกรรมการข้าราชการครู คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา คณะกรรมการ
ข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย คณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา หรือ
คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ
(ข) เป็นหรือเคยเป็นกรรมการกฤษฎีกา
(ค) รับราชการหรือเคยรับราชการในตำแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์หรือเทียบเท่า หรือตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองชั้นต้น
(ง) รับราชการหรือเคยรับราชการในตำแหน่งไม่ต่ำกว่าอัยการพิเศษประจำเขตหรือเทียบเท่า (จ) รับราชการหรือเคยรับราชการในตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูงหรือเทียบเท่า
ตามที่ ก.พ. กำหนด
(ฉ) เป็นหรือเคยเป็นผู้สอนวิชาในสาขานิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์
เศรษฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ หรือวิชาที่เกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินในสถาบันอุดมศึกษา และดำรง
ตำแหน่งหรือเคยดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่ารองศาสตราจารย์ แต่ในกรณีที่ดำรงตำแหน่งรองศาสตราจารย์
ต้องดำรงตำแหน่งหรือเคยดำรงตำแหน่งมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี
22. ใครเป็นประธานคณะกรรมการคัดเลือกกรรมการ ก.พ.ค.
ก. ประธานศาลฎีกา ข. รองประธานศาลฎีกา
ค. ประธานศาลปกครองสูงสุด ง. รองประธานศาลปกครองสูงสุด
คำตอบ ค. ให้มีคณะกรรมการคัดเลือกกรรมการ ก.พ.ค. ประกอบด้วย ประธานศาลปกครองสูงสุดเป็น
ประธาน รองประธานศาลฎีกาที่ได้รับมอบหมายจากประธานศาลฎีกา 1 คน กรรมการ ก.พ. ผู้ทรงคุณวุฒิ
1 คน ซึ่งได้รับเลือกโดย ก.พ. และให้เลขาธิการ ก.พ. เป็นกรรมการและเลขานุการ
23. ข้อใดมิใช่อำนาจหน้าที่ของ ก.พ.ค.
ก. พิจารณาวินิจฉัยเรื่องร้องทุกข์ ข. ดำเนินการสอบสวนทางวินัย
ค. พิจารณาเรื่องการคุ้มครองระบบคุณธรรม ง. แต่งตั้งบุคคลเพื่อเป็นกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์
คำตอบ ข. ก.พ.ค. มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(1) เสนอแนะต่อ ก.พ. หรือองค์กรกลางบริหารงานบุคคลอื่น เพื่อให้ ก.พ. หรือองค์กรกลาง
บริหารงานบุคคลอื่น ดำเนินการจัดให้มีหรือปรับปรุงนโยบายการบริหารทรัพยากรบุคคลในส่วนที่
เกี่ยวกับการพิทักษ์ระบบคุณธรรม
(2) พิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ตามมาตรา 114
(3) พิจารณาวินิจฉัยเรื่องร้องทุกข์ตามมาตรา 123
(4) พิจารณาเรื่องการคุ้มครองระบบคุณธรรมตามมาตรา 126
(5) ออกกฎ ก.พ.ค. ระเบียบ หลักเกณฑ์ และวิธีการเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
กฎ ก.พ.ค. เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับได้
(6) แต่งตั้งบุคคลซึ่งมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่ ก.พ.ค. กำหนดเพื่อเป็นกรรมการ
วินิจฉัยอุทธรณ์หรือเป็นกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์
24. ผู้ได้รับคัดเลือกเป็นกรรมการ ก.พ.ค. ที่มีลักษณะต้องห้าม จะต้องลาออกจากการเป็นบุคคลซึ่งมีลักษณะ
ต้องห้ามภายในกี่วันนับแต่ได้รับคัดเลือก
ก. 7 วัน ข. 10 วัน
ค. 15 วัน ง. 30 วัน
คำตอบ ค. ผู้ได้รับคัดเลือกเป็นกรรมการ ก.พ.ค. ผู้ใดมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 27 ผู้นั้นต้องลาออก
จากการเป็นบุคคลซึ่งมีลักษณะต้องห้ามหรือแสดงหลักฐานให้เป็นที่เชื่อได้ว่าตนได้เลิกการประกอบอาชีพ
หรือวิชาชีพหรือการประกอบการอันมีลักษณะต้องห้ามดังกล่าวต่อเลขานุการ ก.พ.ค. ภายใน 15 วันนับแต่
วันที่ได้รับคัดเลือก
25. กรรมการ ก.พ.ค. มีวาระการดำรงตำแหน่งกี่ปี
ก. 2 ปี ข. 4 ปี ค. 5 ปี ง. 6 ปี
คำตอบ ง. กรรมการ ก.พ.ค. มีวาระการดำรงตำแหน่งหกปีนับแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง
และให้ดำรงตำแหน่งได้เพียงวาระเดียว
26. กรรมการ ก.พ.ค. จะพ้นจากตำแหน่งเมื่อใด
ก. ลาออก ข. อายุครบ 70 ปีบริบูรณ์
ค. ไม่สามารถปฏิบัติงานได้เต็มเวลาอย่างสม่ำเสมอ ง. ถูกทุกข้อ
คำตอบ ง. นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระกรรมการ ก.พ.ค. พ้นจากตำแหน่งเมื่อ
(1) ตาย
(2) ลาออก
(3) มีอายุครบ 70 ปีบริบูรณ์
(4) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 25 หรือมาตรา 27
(5) ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก แม้จะมีการรอการลงโทษ เว้นแต่เป็นการรอการลงโทษ
ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาท ความผิดลหุโทษ หรือความผิดฐานหมิ่นประมาท
(6) ไม่สามารถปฏิบัติงานได้เต็มเวลาอย่างสม่ำเสมอตามระเบียบของ ก.พ.ค.
27. ข้าราชการพลเรือนมีกี่ประเภท
ก. 1 ประเภท ข. 2 ประเภท
ค. 3 ประเภท ง. 4 ประเภท
คำตอบ ข. ข้าราชการพลเรือนมี 2 ประเภท คือ
(1) ข้าราชการพลเรือนสามัญ ได้แก่ ข้าราชการพลเรือนซึ่งรับราชการโดยได้รับบรรจุแต่งตั้ง
ที่บัญญัติไว้ในลักษณะ 4 ข้าราชการพลเรือนสามัญ
(2) ข้าราชการพลเรือนในพระองค์ ได้แก่ ข้าราชการพลเรือนซึ่งรับราชการโดยได้รับบรรจุ
แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในพระองค์พระมหากษัตริย์ตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา
28. บุคคลในข้อใดสามารถเป็นข้าราชการพลเรือนได้
ก. แดง เป็นบุคคลเสมือนไร้ความสามารถ ข. ดำ เป็นบุคคลล้มละลาย
ค. ขาว อยู่ในระหว่างถูกสั่งพักราชการ ง. เขียว อายุ 19 ปี
คำตอบ ง. ผู้ที่จะเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนต้องมีคุณสมบัติทั่วไป และไม่มีลักษณะต้องห้าม
ดังต่อไปนี้
ก. คุณสมบัติทั่วไป
(1) มีสัญชาติไทย
(2) มีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี
(3) เป็นผู้เลื่อมใสในการปกครองระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ด้วยความบริสุทธิ์ใจ
ข. ลักษณะต้องห้าม
(1) เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
(2) เป็นคนไร้ความสามารถ คนเสมือนไร้ความสามารถ คนวิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือน
ไม่สมประกอบ หรือเป็นโรคตามที่กำหนดในกฎ ก.พ.
(3) เป็นผู้อยู่ในระหว่างถูกสั่งพักราชการหรือถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนตามพระราช
บัญญัตินี้หรือตามกฎหมายอื่น
(4) เป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดีจนเป็นที่รังเกียจของสังคม
(5) เป็นกรรมการหรือผู้ดำรงตำแหน่งที่รับผิดชอบในการบริหารพรรคการเมืองหรือ
เจ้าหน้าที่ในพรรคการเมือง
(6) เป็นบุคคลล้มละลาย
(7) เป็นผู้เคยต้องรับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกเพราะกระทำความผิดทาง
อาญา เว้นแต่เป็นโทษสำหรับผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
(8) เป็นผู้เคยถูกลงโทษให้ออก ปลดออก หรือไล่ออกจากรัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่น
ของรัฐ
(9) เป็นผู้เคยถูกลงโทษให้ออก หรือปลดออก เพราะกระทำผิดวินัยตามพระราชบัญญัตินี้
หรือตามกฎหมายอื่น
(10) เป็นผู้เคยถูกลงโทษไล่ออก เพราะกระทำผิดวินัยตามพระราชบัญญัตินี้หรือตาม
กฎหมายอื่น
(11) เป็นผู้เคยกระทำการทุจริตในการสอบเข้ารับราชการ หรือเข้าปฏิบัติงานในหน่วยงาน
ของรัฐ
29. ข้อใดกล่าวผิดเกี่ยวกับการจัดระเบียบข้าราชการพลเรือนสามัญโดยให้คำนึงถึงระบบคุณธรรม
ก. การบรรจุบุคคลเพื่อเข้ารับราชการต้องคำนึงถึงความรู้ความสามารถ ความเสมอภาค ความเป็นธรรม
และประโยชน์ของทางราชการ
ข. การบริหารทรัพยากรบุคคล ต้องคำนึงถึงผลสัมฤทธิ์และประสิทธิภาพขององค์กรและลักษณะของงาน
ค. การพิจารณาความดีความชอบต้องพิจารณาจากผลงาน ศักยภาพ ความประพฤติและความคิดเห็น
ทางการเมือง
ง. ไม่มีข้อใดถูก
คำตอบ ค. การจัดระเบียบข้าราชการพลเรือนสามัญตามพระราชบัญญัตินี้ ให้คำนึงถึงระบบคุณธรรม
ดังต่อไปนี้
1. การรับบุคคลเพื่อบรรจุเข้ารับราชการและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งต้องคำนึงถึงความรู้
ความสามารถของบุคคล ความเสมอภาค ความเป็นธรรม และประโยชน์ของทางราชการ
2. การบริหารทรัพยากรบุคคลต้องคำนึงถึงผลสัมฤทธิ์และประสิทธิภาพขององค์กรและลักษณะ
ของงาน โดยไม่เลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม
3. การพิจารณาความดีความชอบ การเลื่อนตำแหน่ง และการให้ประโยชน์อื่นแก่ข้าราชการ
ต้องเป็นไปอย่างเป็นธรรม โดยพิจารณาจากผลงาน ศักยภาพ และความประพฤติ และจะนำความคิดเห็น
ทางการเมืองหรือสังกัดพรรคการเมืองมาประกอบการพิจารณามิได้
4. การดำเนินการทางวินัย ต้องเป็นไปด้วยความยุติธรรมและโดยปราศจากอคติ
5. การบริหารทรัพยากรบุคคลต้องมีความเป็นกลางทางการเมือง
30. ข้อใดเป็นตำแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญ
ก. ตำแหน่งประเภทบริหาร ข. ตำแหน่งประเภทอำนวยการ
ค. ตำแหน่งประเภทวิชาการ ง. ถูกทุกข้อ
คำตอบ ง. ตำแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญ มี 4 ประเภท ได้แก่
1. ตำแหน่งประเภทบริหาร 2. ตำแหน่งประเภทอำนวยการ
3. ตำแหน่งประเภทวิชาการ 4. ตำแหน่งประเภททั่วไป